Thursday, September 03, 2009

ศึก


ในบางคราว ที่ราวป่า
รถรบ ทิวธง ของข้าศึก จากเทือกเขาลึกลับยกมาประชิด
แม้เบิกบานบุรีจะเป็นนครสันติ อหิงสา
แต่ธรรมชาติ ก็มักส่งข้าศึกมาทดสอบ

ฝุ่นคลี คละคลุ้ง ฉาบบนสายหมอกยามเช้า
โดยปกติ ชาวบุรี ผู้ใฝ่สันติ มิชอบนักกับการรบรา
ที่ราวป่า ทิวข้าศึก เป็นภาพมืดทึบรางๆ มิอาจคะเนได้ว่ามีประมาณใด

การรบของชาวเบิกบาน นั้นแตกต่าง
เรามิได้ห่ำหั่น เราเห็นข้าศึก ดุจดัง สายหมอกยามเช้า
ฝนพรำยามสาย เปลวแดดยามบ่าย
หิมะยามค่ำ มันเป็นเพียงเวลาที่เราต้องรบ

ผู้ว่าการ สั่งทหารให้ตั้งมั่น
สูดลมหายใจแห่งขุนเขา
ขุนเขาแห่งเรา ชาวบุรี
ทแกล้ว ทหาร เบิกบาน มิได้หวาดหวั่น

เมื่อข้าศึกเข้าประชิด ลมหายใจก็ถี่ขึ้น
ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา
เสียงฝีเท้าม้า รถรบ ศาสตราวุธ

ห่างจากเรา เพียงเล็กน้อย
ดังระยะจากหน้าผาก ถึง หัวใจ

เมื่อเราชาวบุรี แลเห็น ความวูบไหว
ความเกรี้ยวกราด ความรัก ความเจ็บปวด
ศึก สงคราม เลือด ความตาย
เห็นอย่างครบถ้วน

ฉับพลัน วงกลม ที่หมุนวนแห่งข้าศึก

ก็แตกพ่าย สลายไป

เมื่อนั้น ชาวบุรี ก็ยกทัพกลับ นคร

แล้วงานฉลอง ชัยชนะ ก็เริ่มขึ้น

ซึ่งไม่มีสิ่งใดที่เรา เหล่าทหารหาร จะดื่มด่ำได้ดีเท่า

อมฤตรสแห่งความรัก และความเบิกบาน

..........

เบิกบานบุรีอาจมีศึก
แต่นั่น แสดงว่าเรายังมีชีวิตแสนธรรมดา

จนกว่า ความเบิกบาน ที่แท้จริงจะมาถึง

Saturday, February 21, 2009

ก่อน


ก่อนที่เสียงอึงคนึงในนครจะดังขึ้น
ก่อนที่ตลาดเช้าจะเริ่มขยับตัว
ก่อนที่ไก่ตัวแรกจะขานขัน
ราวๆ ดึกดื่น ในเบิกบานบุรี นครแห่งนี้

ก่อนที่ทุกอย่างจะเริ่มส่งเสียงทำงาน
ในความหลับไหล
ในมุมหนึ่ง ที่แสงอาทิตย์ยังสาดมาไม่ถึง
ในความเงียบงัน
ไม่มีเสียงใดๆ

แล้วความฝันที่กำลังโลดแล่นไปของชาวนคร
แล้วการนอนซมของเหล่าม้าในคอกรั้ว
วัวที่หลับไหลอยู่ในโรงเรือน
เสียงกรนของพ่อบ้าน


บางครั้งความฝันของชาวนคร
อาจเป็นเพียงเด็กน้อยที่วิ่งซนในตลาดเช้า

บางครั้งชาวนครอาจกำลังหลับไหลในจินตภาวะ


แล้วอนันตภาพที่ห่อคลุม ก็เป็นดุจมารดา
ที่จ้องมองลูกน้อยนับหมื่นแสน
ที่กำลังหลับไหล

แต่หากใคร ตื่นขึ้น

ทั้งในยาม กลางคืน และกลางวัน

เขาผู้นั้น ย่อมยินยล และเกี่ยวเก็บผลิตผล

ของเบิกบานนคร

..........

เบิกบานบุรี

สายหิมะโรยโปรยพื้น

รอเพียงการตื่น

และร่วมกันฉลอง ในฤดูหนาว

งดงาม งดงาม