Tuesday, October 24, 2006

Beauty



Beauty
เบิกบานบุรีที่ริมฝั่ง ผู้คนกำลังกังวลใจกับระดับน้ำในมหานที ปีนี้น้ำเยอะเหลือเกิน พลิ้วไหวระริกสะท้อนระยับแดดที่เคยงดงามยามเย็นกลับกลายเป็นความกังวลใจในซอกหลืบหัวใจของผู้คนสองฝากฝั่งสายน้ำแห่งชีวิต

ผมเดินทางออกจากเบิกบานบุรี ผ่านดินแดนที่ล้นท่วมไปด้วยน้ำ บางแห่งระดับน้ำสูงจนมิดหลังคา ท่วมทั้งบ้านและหัวใจของเกษตรกรให้สำลัก แต่โดยนัยคือความโชคดีของชาวเบิกบานบุรี

อุทกภัยแผ่ไปทั่วผืนดิน เป็นอุทกภัยที่ท่วมทับผิวดินและพืชพันธ์ ดอกไม้ที่เคยงดงามในท้องทุ่งกลับเน่าเปื่อยจมอยู่ในห้วงน้ำ กลีบดอกผละจากลำต้นน้อยลอยเคว้งเหนือเวิ้งน้ำ ดุจไม้ดอกโปรยปรายเคียงเถ้ากระดูกในพิธีศพกลางทะเล

ดอกบัวคงเป็นดอกไม้ชนิดเดียวที่รอดได้ ด้วยพ้นน้ำ

ผู้คนยากแค้น น้ำที่เคยชุ่มเย็น เปลี่ยนเป็นพลังทำลายล้าง ผ่านวันคืนแหลกสลายเปลี่ยนสภาพส่งกลิ่นเน่าเหม็น

ผมเดินผ่านไปเพียงเพื่อบริจาคอาหารให้กับชาวบ้าน พรางถามยายแก่ผิวกร้านเหี่ยวย่นด้วยความเห็นใจ ยายแก่ตอบกลับบทสนทนาของผมว่า

“ไม่เป็นไร ขออย่าให้วัดและบ้านของพระราชาท่วมน้ำเป็นพอ”
...............................

ในสายน้ำแห่งความเศร้า ระยับแดดยังระเริงเล่นส่งแสงระยิบ

ใครเลยจะล่วงรู้การปรากฎตัวของความงาม

เบิกบานบุรี ฝนโปรยโรยพื้น น้ำในมหานทียังนิ่งสงบ ต่างก็แต่น้ำสุราละเลียดแก้วใบงาม ที่ยังคงหลั่งลดลำคอของชาวเบิกบานบุรีให้มีความสุขต่อไป

ในขณะที่ยายแก่ยังคงกำดอกบัวกราบพระก่อนเข้านอนทุกค่ำคืน
.....................................
เบิกบานบุรุษ สุดหรรษา

Friday, July 21, 2006

Roads


Roads

เบิกบานบุรี โอบคลุมด้วย ถนนหนทางสายใหญ่ สายกลาง สายเล็กสายน้อย ทั้งหมดถักตัวเป็นปุยไหมห่อหุ้มเมืองให้เราได้เคลื่อนที่ไปในความฝันอันไม่จบสิ้น

ตะวันทอแสง สาดไล้ผิวพื้นถนนสายเล็กซอยเหงา เชื่อว่าเท้าหลายคู่เคยประทับรอย ก่อนการเลยผ่านเข้าสู่ถนนสายใหญ่สับสน

ถนน คือ แนวเส้นที่ทอดนำเราไป ไปสู่อะไรบางอย่าง ไปสู่ความรัก ความฝัน ความปวดร้าว แร้งลน

ถนน ในบางวันอาจร้อนทุรณ อาจหนาวเหน็บเดียวดาย อาจชุ่มเย็นด้วยสายฝนโปรยปราย

ทุกขณะที่เท้าก้าวเดิน พลันเหลือบมองถนนที่คุณเดิน บางครั้งเราอาจตระหนักว่า หลงทางอยู่ ก็เป็นได้

บางครั้ง บางขณะ ถนนในห้วงคำนึงอาจมีนับร้อยสาย แต่เราเองกลับไม่รู้จะวางเท้า เพื่อเดินทางไป ณ ที่แห่งใด
............................

เบิกบานบุรี ฝนโปรยโรยพื้น ภาพเท้าที่ก้าวไปบนถนน ยังปรากฏให้เห็นอยู่อย่างเนืองนิตย์

แต่สำหรับฝีเท้าที่ก้าวเข้าออกบนเส้นทางแห่งลมหายใจ

จะมีใครได้ยินเสียง จังหวะก้าวของกันและกันบนถนนแห่งหัวใจ บางหรือไม่
........................

คุณพระด้วยช่วยคุ้ม

....................

เบิกบานบุรุษ

Friday, May 19, 2006

Rain


Rain

เบิกบานบุรี ฝนโปรยโรยพื้น โดยก่อนหน้า ฟ้าร้องโวยวายโครมคราม ทั่วผืนพิภพ

ฟ้าร้อง อาจเป็นสัญญาณแห่งความสุข สำหรับชาวนา ชาวสวน

ฟ้าร้อง อาจเป็นสัญญาณแห่งความงอกงาม ของดอกไม้ ใบหญ้า

ฟ้าร้อง บางครั้งอาจเป็นสัญญาณของความฉุนเฉียว จากแม่ค้าขายปลาเค็ม กล้วยตาก และอาชีพใช้แดด

ฟ้าร้อง บางมุมอาจหมายถึง ความสั่นกลัว สะท้านสะเทือน กับเสียงกัมปนาท จนต้องกระชับกายและใบหูกับผ้าห่ม

แต่ที่แน่ๆฟ้าร้อง คือสัญญาณสำหรับการโปรยปรายของเม็ดฝนบนฟากฟ้าที่จะทยอยเม็ดน้ำลงโลมดิน

.............................................

สำหรับฝน เมื่อลอยหล่น อาจถูกตีค่าหลากหลายจากผู้คน

ฝน อาจหมายถึง การจราจรที่หนักข้อขึ้น

อาจหมายถึง การหยุดชะงักของการพบปะของใครหลายคน

อาจหมายถึง น้ำตาของผู้ที่ทำหัวใจหล่นหายไปกับความเศร้า

อาจหมายถึง ความชุ่มเย็นดุจน้ำนมของมารดาแห่งโลก

อาจหมายถึง ระเหยไอแล้งร้อนที่พวยพุ่งบนพื้นดินและท้องถนน

หรือกระทั่งถึง ความสดชื่นรื่นรมย์ของดอกไม้ใบหญ้า ที่ระริกไหวตามสายลมยามฝนพรำ

....................................................

ฝนยังโปรยเม็ด ยังความชื่นชุ่มสู่เบิกบานบุรีอย่างสม่ำเสมอ นิรันดร

แม้ว่าผู้คนบางพวกอาจก่นด่า หรือขลาดกลัวกับเสียงฟ้าผ่า

แต่ฉันใด เรามิอาจปฏิเสธความงอกงามหรือสายรุ้งภายหลังฝนจากฟ้าได้

.................................................

พระเจ้าช่วย

เบิกบานบุรุษ สุดสายฝน

Wednesday, May 10, 2006

walk


walk

คืนค่ำ ย่ำเย็น พระอาทิตย์ตกแล้ว

ณ เบิกบานบุรี ที่ม่านความมืดแผ่ปลกคลุม ริมทางเท้าที่มีเสียงแตรรถยนต์ดังประปราย เป็นเพื่อนคลายเหงา

เท้าสองข้างยังก้าวเดินไปบนบาทวิถี และแล้วเท้าทั้งสองข้างก็ไปหยุดยืนอยู่เคียงข้างเท้าสองข้างอีกคู่หนึ่ง

.............................................

ชายอ้วน ผมหยิก ตัวเหม็น เดินกระผลกกระเผลก ใช้มือยันกำแพงสังกะสีริมบาทวิถี

เท้าข้างซ้ายบวมเป่ง มีเลือดไหล นัยตามีแววแห่งความเจ็บปวดรวดร้าว น้ำตาอาบไล้สองแก้ม

หิวข้าว ก็ถูกผลักออกจากร้าน

กระหายน้ำ ก็ถูกรังเกียจเดียดฉันท์

ขึ้นรถเมล์ ก็ถูกไล่ลง
.......................................................

สองเท้าก้าวเดินไป แลเห็นสุนัขฝรั่งมีเจ้าของอุ้มป้อนขนมน้ำ

เมื่อถึงร้านของชำ จึงชื้อน้ำได้สามขวด

แล้วเดินกลับมา ณ ชายอ้วนร้าวราน

มือลูบหลัง ด้วยกรุณา และดีใจที่ชายอ้วนได้กินน้ำ
...................................................

ณ เบิกบานบุรี ชายหนุ่มส่งชายอ้วน ขึ้นรถแท็กซี่ใจดีที่ไม่รังเกียจในการพาไปส่งที่สถานีเพื่อนำชายอ้วนกลับสู่ปลายทางบ้านเกิด

ชายหนุ่มนับเงินที่เหลือในกระเป๋า โดยไม่รู้ว่าจะมีเงินเหลือถึงสิ้นเดือนหรือไม่

แต่ก็ดีใจที่ หนึ่งพันบาท อาจหมายถึงความสุขในย่างก้าวของชายอ้วน

................................................

คืนค่ำ วังเวง เปลี่ยวเหงา ณ เบิกบานบุรี น้ำตาแห่งปิติยังหล่อเลี้ยงหัวใจชายหนุ่มอยู่ไม่คลาย

ความรักยังแผ่ปลกคลุมไปทั่วเบิกบานบุรี ไม่ว่ายามมืดหรือสว่าง

.............................................

คุณพระด้วยช่วยคุ้ม

เบิกบานบุรุษ




Friday, April 28, 2006

Seek


Seek

ณ เบิกบานบุรี วันที่ท้องฟ้าแจ่มใส เมฆขาวพราวเวิ้งฟ้า

ผู้คนต่างล้วนตามหา ดวงดาว ของตนเองเฉกเช่นทุกเมื่อเชื่อวัน

อรุณรุ่ง ทอแสง ประกายอบอุ่น ละมุนอาบไล้แขนนวล

เด็กชายกำลังคุ้ยเขี่ยตามหา ดวงดาว บนกองขยะมาขายเป็นเงิน เลี้ยงปากท้อง

แม่ค้า รวกเส้นก๋วยเตี๋ยว พลางคิดว่าสลากกินแบ่งจะช่วยให้ได้ไปยืนบนดาวดวงนั้น

หนุ่มสาว กำลังพลอดรักรำพัน และฝันว่ารักนิรันดร์ คือดวงดาวที่เราสองจะร่วมก่ายเกย

เด็กน้อยขายพวงมาลัย ในห่วงคำนึงของความน่ารัก ดวงดาว คือ ความลึกลับอันความอยากรู้อยากเห็นกระตุ้นให้แหงนมอง ยามพลบเย็น

ตะวัน จันทรา เคลื่อนคล้อยลอยเลื่อน ตะวันออกไปสู่ตะวันตก ซึ่งหามีไม่

ผู้คนมากมาย หลากหลาย วันวัย อาชีพ ฐานันดร หัวโขน ต่างเดินตามหาดวงดาวของตน

หญิงสาว อาจทำดวงดาวหล่นหายไปดวงแล้วดวงเล่า จึงซบกายลงบนเตียงนุ่ม ด้วยน้ำตาเปียกหมอน ร้าวราน

ชายหนุ่ม อาจกำลังตามหา ดวงดาวในแววตาของใครสักคน ในค่ำคืนอันมีแสงสีลีลาเร่งเร้า ร้อนทุรณ

เราท่าน ต่างสีสันและรายละเอียด ล้วนเร่งเร้าตัวตนเพื่อเดินตามหาดวงดาว ดวงนั้น

..............................

ณ คืนค่ำ ที่เบิกบานบุรี ดวงดาวพราวฟ้าสลับกับปุยเมฆสีเทา

เราท่านต่างยังคงแหงนมองดวงดาวของตนในทุกค่ำคืน ทั้งในยามตื่น และหลับ

แต่แท้จริง เราท่านล้วนดำรงอยู่ในเบิกบานบุรี

อันเป็นสถานที่หนึ่งบนโลก โลกอันเป็นดาวดวงหนึ่งที่บริสุทธิ์ งดงาม

........................

คุณพระด้วยช่วยคุ้ม

เบิกบานบุรุษ สุดหรรษา



Tuesday, April 18, 2006

Hide


เหลือบแลไม้ฝาบ้านโบราณ นอกจากความงามยังพบรอยปริแยก และเสี้ยนหนาม

เหลือบแลมหาวิหารอาคารวิจิตร นอกจากความงามยังพบเปลือกปูนผุกร่อน ร่อนหลุด

เหลือบแลภาพเขียนในพิพิธภัณฑ์ นอกจากความงามยังพบเปลือกสีปริร้าว รอร่วง

เหลือบแลเด็กน้อยข้างถนน นอกจากดอกจำปีห่อใบตองยังพบคราบน้ำตาเปรอะแก้ม กลึงกลม

เหลือบแลผู้เฒ่าร้อยมาลัยใต้ทางด่วน นอกจากมะลิร้อยยังพบความทรงจำในวัยเด็กที่ถูกทิ้งร้าง โรยรา

เหลือบแลรูปลักษณ์ทรวดทรงสาวสะพรั่ง นอกจากริมฝีปากงามงดยังพบความแก่เฒ่ายืนรอ ลบรอย

เหลือบแลอดีต ก็ตระหนักเพียงไม่อาจหวนคืน

เหลือบแลปัจจุบัน ก็ตระหนักว่ามันเร็วจนมิอาจจับต้องได้

เหลือบแลอนาคต ก็ยังมาไม่ถึง และมันก็มาถึง

.....................

คืนค่ำย่ำเย็น พระอาทิตย์ตกที่เบิกบานบุรี

ความงามที่ซ่อนตัวอยู่ในความแล้งโรย

ความแล้งโรยที่ซ่อนอยู่ในความงาม

ยังนอนกอดเกยกันอย่างเงียบเชียบ แนบชิด

.................

นั่นคือความจริงประการต่อมาที่ผมพบในเบิกบานบุรี

...............

คุณพระช่วย

Bbbr

Monday, April 17, 2006

นางสงกรานต์

นางสงกรานต์

นานแล้วที่ผมไม่ได้เดินทางออกจากเบิกบานบุรี

และแล้วประเพณีสาดน้ำแห่งชาติก็เวียนมาอีกครั้ง ถึงเวลาที่ผมจะออกเดินทางจากเบิกบานบุรีเสียที

ผมกลับสู่บ้านเกิดไม่ไกลจากเบิกบานบุรีเท่าใดนัก

สิ่งเดียวที่ผมได้รับจากการกลับบ้าน คือ ความเงียบ

ความเงียบที่ทำให้ผม ได้ยินเสียงต่างๆได้ชัดเจนขึ้น เห็นโลกได้อย่างถนัดตา

ความเคลื่อนไหวทุกอย่างเป็นเพียงความเคลื่อนไหว ซึ่งไม่อาจทำลายความเงียบได้

......................

นอร่า โจนส์ เป็นเพียงดนตรีแผ่นเดียวที่ผมหยิบกลับไปฟังที่บ้าน

โดยเฉพาะเพลง Cold,cold heart หากฟังแกล้มกับ Home ของ Michel Buble ก็จะอร่อยไม่หยอก
...................

ประเพณีสาดน้ำแห่งชาติสำหรับหนุ่มสาวทั้งในและนอกเบิกบานบุรี ยังดำเนินบทบาทองค์นึงของละครโรงใหญ่ต่อไป อย่างชุมเปียก

เนื้อในของจิตใจผู้คนโดยเฉพาะหนุ่มสาวคับแน่นไปด้วยความเบิกบาน สนุกสนาน การฉลองอย่างสุดเหวี่ยง

และสำหรับชายหนุ่มผู้เปลี่ยวเหงาบางคนอาจหมายถึงการได้นางสงกรานต์เป็นของตนเองสักคน

...............

สำหรับผม ในค่ำคืนที่ดวงอาทิตย์โคจรเข้าสู่ราศีเมษ ความสุขที่ทำให้ผมถึงกลับน้ำตาไหล
คือการพักผ่อนอยู่ในอ้อมกอดของนางสงกรานต์ผู้เลอโฉมตลอดกาลของผม

ขอบคุณ อ้อมกอดของเธอ ที่กลับมากล่อมผมอีกครั้ง

เป็นอ้อมกอดที่ไม่เคยผิดเพี้ยนไปจากวัยเยาว์ของผมเลยแม้แต่น้อย

...............

คุณพระช่วย

เบิกบานบุรุษ

Tuesday, April 11, 2006

ความน่ารักแสนอร่อย

แม่ค้าปิ้งปลาหมึก ควันขโมง

พ่อค้าขายไก่ย่างกลิ่นหอมๆ

ไข่ข้าว ไข่ที่มีตัวอ่อนยังไม่ได้ฟัก ส่งกลิ่นหอมกรุ่น

ข้าวราดแกง ไข่ดาว หรือไข่เจียวอย่างเดียว แสนอร่อย

ร้านขายน้ำ น้ำเปล่า โคคาโคล่า เป๊ปซี่ กระทิงแดง ชูกำลัง ในรังน้ำแข็งอันมีใบมะขามปะปนอยู่

เสียงเครื่องไฟมหึหา แผดเสียงสามหมื่นโวลท์

ผ้าเหลือง คาดหน้า คลุมหัว มีทิวธงไสว

.....................................


ค่ำคืนดำเนินไปใกล้รุ่งสาง คนจรยังหมอนหมิ่น ไร้บ้านเช่นเดิม

เหล่าแม่ค้า และผู้คนกลับไปแล้ว

พรุ่งนี้ ผมเฝ้ารอ เพื่อจะมางานรื่นเริง และลิ้มรสอาหาร อย่างมีความสุข

ณ ที่เบิกบานบุรี บริเวณที่ใบมะขามปลิวว่อน เพราะมิอาจทานแรงลมโหมกระหน่ำได้

.....................................

คุณชีช่วย

เบิกบานบุรุษ

Thursday, April 06, 2006

บ้านร้างรอนแรม


บ้านร้างรอนแรม

ทอดตาเหม่อลอยออกนอกหน้าต่าง
คนงานก่อสร้างกำลังอาบน้ำหลังจากตรากตรำกับการสร้างบ้านหลังใหญ่
ไฟสีแดงจากหลอดโบราณส่องประกายแสง แกว่งไปมาตามแรงลมเอื่อยพัดสายไฟโบก
ค่ำคืนมืดมิด มีมุ้งขึงครอบกันยุงร้าย ณ บ้านหลังใหญ่แห่งนั้น

บ้านที่เหล่าคนงานสร้างทำด้วย เหงื่อไคล แรงงาน และฝีมือ

.........................

สามเดือนแล้วที่เศรษฐีย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านใหม่เอี่ยมหรูหรา

แล้วคนงานก่อสร้างป่านนี้จะไปอยู่ที่ไหนหนา

น้ำที่อาบ ข้าวที่กิน มุ้งที่กาง ข้างกองอิฐ กองปูน แห่งใด

นี่ คือ ความจริงประการแรก ที่ผมสังเกตเห็นในเบิกบานบุรี

........................

คุณพระช่วย

เบิกบานบุรุษ